ตอนที่ 1 ความสำเร็จเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
คง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเป้าหมายทางการศึกษาของคนส่วนใหญ่ คือ
ความเป็นเลิศทางวิชาการ มีทักษะทางภาษา
สามารถคิดวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบและมีความสามารถในการแข่งขัน
ผู้ปกครองที่มีฐานะจึงเลือกส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนนานา
ชาติที่มีกระบวนการเรียนการสอนแตกต่างจากโรงเรียนในระบบการศึกษาทั่วไป
เช่นเดียวกับ
'โรงเรียนทางเลือก' ที่มีจำนวนมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ปกครอง
ซึ่งสามารถแบ่งได้อีกหลายระดับ
ดังนั้นโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพจึงเหมือนถูกจำกัดไว้สำหรับคนมีฐานะ
และกระจุกตัวอยู่ในเขตเมือง
ทำให้เด็กส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้
ตลอดระยะ
เวลา 13 ปีที่ผ่านมา โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและพัฒนาศักยภาพ
ของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
เนื่องจากโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาตั้งอยู่ที่อ.ลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
ซึ่งผู้ปกครองส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร มีรายได้น้อย
โรงเรียนจึงไม่เก็บค่าเล่าเรียนและคัดเลือกเด็กเข้าศึกษาโดยการจับฉลาก
ไม่วัดจากความสามารถหรือข้อสอบ ไม่คัดใครเข้าและไม่คัดใครออก
แต่ต้องการให้เด็กทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม
และเมื่อจบการศึกษา เด็กทุกคนจะรู้จักตัวเอง สามารถคิด วิเคราะห์
และมีทักษะในแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ
ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นในการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21
ดังนั้นโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจึงแสดงให้เราเห็นว่า อันที่จริงแล้ว
“ไม่มีเด็กคนไหนไม่ฉลาด มีแต่เด็กที่ไม่ได้รับโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่ดี”
โรงเรียน
ลำปลายมาศพัฒนา เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3
จัดการเรียนการสอนด้วยนวัตกรรมทางการศึกษาที่ผสมผสานการพัฒนาผู้เรียนทั้ง
ภายในและภายนอกเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย
- จิตศึกษา เป็นการพัฒนาผู้เรียนจากภายใน
สร้างการตระหนักรู้ของเด็กหรือให้นักเรียนรู้สึกตัว รู้ตัวเอง
มีจิตใจจดจ่อกับสิ่งรอบตัวที่กำลังเกิดขึ้น เข้าถึงปัญญาภายใน
กระบวนการจิตศึกษาทำให้ผู้เรียนสามารถควบคุมตนเองได้ มีสติรู้เท่าทันอารมณ์
มีสมาธิ
พัฒนาไปสู่การรู้คุณค่าของตนเองและผู้อื่นและมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้
อื่น ทำให้เด็กๆ สามารถอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข เป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกัน
นอก
จากนี้ก่อนเริ่มการเรียนรู้ยังมีกิจกรรมการปรับคลื่นสมองให้เด็กทำร่วมกัน
เพื่อเตรียมความพร้อมเด็กแต่ละคนที่เพิ่งวิ่งเล่นมา
ปรับความถี่ของคลื่นสมองให้ทุกคนพร้อมรับข้อมูล พร้อมที่จะเรียนรู้
โดยมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่าการปรับความถี่สมอง
มีผลต่อทั้งการเรียนรู้และความจำ (อ่านเพิ่มได้จาก
What is the function of the various brainwaves?)
อย่างไรก็ตาม การปรับคลื่นสมองแตกต่างจากการบังคับให้เด็กนั่งสมาธิ
เนื่องจากการนั่งสมาธิยังไม่เหมาะกับพฤติกรรมของเด็กที่ต้องการทำกิจกรรมที่
สนุก หากบังคับให้เด็กทำจะยิ่งทำให้เด็กเบื่อ
ไม่ให้ความร่วมมือและไม่เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการในที่สุด
อีกสิ่งหนึ่ง
ซึ่งทุกคนที่มาดูงานโรงเรียนมักจะรู้สึกแปลกใจ คือ
คุณครูทุกคนจะพูดกับเด็กด้วยน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน
เพื่อสอนให้นักเรียนตั้งใจฟังมากขึ้น อีกทั้งเด็กๆ
จะไม่รู้สืกว่าครูกำลังดุหรือว่าเขา จึงแสดงออกพฤติกรรมที่ดี ไม่ก้าวร้าว
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจำเป็นต้องทำร่วมกับผู้ปกครองที่บ้าน
ด้วย หากเด็กๆ กลับบ้านแล้วเจอผู้ปกครองดุ เสียงดังใส่
สิ่งที่คุณครูทำก็จะไม่เกิดผลต่อใดๆ
และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนานำผู้ปกครองเข้ามาเป็นส่วน
หนึ่งของการจัดการเรียนการสอนด้วย เพื่อให้พ่อแม่ได้เข้าใจจริงๆ
ว่าการเรียนการสอนทั้งหมดจะมีผลอย่างไรกับลูกของเขา และลูกๆ
จะมีพัฒนาการอย่างไร
เมื่อผู้ปกครองเข้าใจมากขึ้นก็จะให้ความร่วมมือในการพัฒนาเด็กมากขึ้นด้วย
2. หน่วยบูรณาการที่ใช้ปัญหาเป็นฐานการเรียนรู้ (Problem Based Learning หรือ PBL) เป็น
การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วม (Active Learning) ตั้งแต่การคิด
ริเริ่มและลงมือทำ โดยเน้นให้ผู้เรียนมองปัญหาที่เกิดขึ้นรอบตัว
ตั้งคำถามจากปัญหานั้นและค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบนี้จะสามารถพัฒนาทักษะที่เป็นปัญญาภายนอกเช่น การอ่าน
การเขียน การนำเสนอ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะในการคิดวิเคราะห์
และประกอบอาชีพ ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ และการทำงานเป็นทีม เป็นต้น
จาก
การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เด็กๆ
จะได้ตั้งคำถามและแก้ปัญหาในเรื่องที่ตัวเองสนใจหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ
ชุมชนของตัวเอง เพื่อฝึกทักษะ กระบวนการคิดและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้เด็กๆ
เพราะเด็กจะกล้าพูดและแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองคิดจากข้อมูลที่ค้นคว้ามาด้วย
ตัวเองและแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ
โดยไม่มีคุณครูดุว่าหรือตัดสินว่าสิ่งที่เด็กคิดนั้นถูกหรือผิด
เพราะเมื่อเด็กมีโอกาสค้นคว้าเพิ่มเติม เด็กจะรู้เองว่าตัวเองคิดถูกหรือผิด
ด้วยเหตุผลอะไร ซึ่งโดยรวมคุณครูจะต้องทำงานหนักขึ้น
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ดีกว่ารูปแบบเดิมๆ เช่นกัน
เพราะเมื่อเด็กได้เรียนสิ่งที่ตัวเองอยากรู้
ได้ลงมือหาคำตอบด้วยตัวเองและสนุกกับมัน เด็กๆ
ก็จะสามารถจำและเข้าใจเรื่องนั้นๆ ได้มากขึ้นด้วย
ยกตัวอย่างเช่น
หน่วยการเรียนรู้ 'ข้าวมหัศจรรย์' สำหรับเด็กป. 1 ได้แบ่งประเด็นออกเป็น
'สิ่งที่รู้แล้ว' เช่น ข้าวมีประโยชน์ เป็นอาหารของคน และ 'สิ่งที่อยากรู้'
เช่น ข้าวเกิดได้อย่างไร ทำไมต้องมีชาวนา ถ้าไม่กินข้าวเราจะกินอะไร
จากคำถามเหล่านี้ เด็กๆ ก็จะหาข้อมูล วาดแผนภาพ
นำมาเสนอหน้าชั้นเรียนให้ครูและเพื่อนๆ ฟัง และผลงานที่มีสีสันสดใสของเด็กๆ
จะถูกนำมาโชว์อยู่ทุกที่ในโรงเรียน
เมื่อเดินเข้าไปในอาคารเรียนก็จะเห็นว่าผลงานของเด็กๆถูกติดไว้ทุกที่
และทำให้เด็กภูมิใจกับผลงานของพวกเขา
เมื่อ
เด็กโตขึ้น คำถามในประเด็นต่างๆ ก็ยากและท้าทายมากขึ้นตามไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่น เด็ก ม.2 ตั้งคำถามประเด็นเรื่องข้าวว่า
“ปลูกข้าวอย่างไรให้ได้ผลผลิตเยอะที่สุดและไม่ใช้สารเคมี”
คำถามดังกล่าวเกิดขึ้นจากปัญหาที่ผู้ปกครอง และคนในชุมชนกำลังเผชิญอยู่จริง
เชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพจากการใช้สารเคมี
และปัญหาหนี้สินจากการซื้อปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์ ดังนั้น
เด็กนักเรียนจึงมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ ทดลองปลูกข้าวกันเอง
และนำความรู้ที่ได้ไปแก้ปัญหาได้จริงๆ
ถ้ามองในมุมมองทรัพยากรมนุษย์
ขององค์กรและประเทศชาติ ทักษะการคิด วิเคราะห์และความสามารถแก้ปัญหา
ล้วนเป็นทักษะที่ทุกองค์กรต้องการเพื่อให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
อย่างรวดเร็วตลอดเวลา ดังนั้นการบูรณาการโดยใช้ปัญหาเป็นฐานการเรียนรู้
(Problem-based Learning, PBL) จึงเป็นนวัตกรรมการศึกษาที่ช่วยพัฒนาเด็กๆ
ให้เติบโตขึ้นเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของสังคมได้
3. การพัฒนาครูผ่านชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ (Professional Learning Community หรือ PLC)
เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูของโรงเรียนต้นแบบที่นำนวัต
กรรมการจัดการศึกษาแบบโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาไปใช้
โดยมีการจัดทำแผนการเรียนการสอนบนฐานข้อมูลออนไลน์
มีการถ่ายวิดีโอการสอนของครู
นำมาดูและพิจารณาว่ามีอะไรที่ควรแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนบ้าง
เพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจของครูต่อสิ่งที่จะสอนให้เด็กๆ
ทำให้ครูมีทักษะการจัดการเรียนการสอน
มีความภาคภูมิใจและมีจิตวิญญาณของความเป็นครูอย่างแท้จริง
นอก
จากนี้การจัดสรรเวลาสำหรับกิจกรรมต่างๆ
ทางโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาก็ได้กำหนดตารางการเรียนให้ตรงตามความสนใจและความ
พร้อมของเด็กๆ เช่น
กิจกรรมจิตศึกษาและกิจกรรมเตรียมความพร้อมของเด็กจะอยู่ในช่วงเช้า กิจกรรม
PBL ที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย พูดคุยแลกเปลี่ยนกันจะอยู่ในช่วงบ่าย
และมีกิจกรรมที่เด็กๆ ชอบเข้ามาแทรกระหว่างวัน เช่น การเล่นโยคะ เป็นต้น
อีก
คำถามหนึ่งที่เราคิดว่าทุกคนคงสงสัยเช่นเดียวกัน คือ เมื่อน้องๆ
เรียนจบชั้นม.3 แล้วต้องไปต่อที่โรงเรียนอื่น เขาจะสามารถปรับตัวได้ไหม?
ซึ่งคุณครูก็ได้ให้คำตอบอย่างหนักแน่นว่า “ปรับตัวได้สิ น้องๆ
โตมาด้วยการแก้ปัญหาตลอดเวลาอยู่แล้ว
นี่ก็เป็นแค่อีกปัญหาในชีวิตที่เขาจะต้องหาวิธีแก้ให้ได้“
เมื่อ
เขียนมาถึงจุดนี้แล้ว เราก็เริ่มมีความหวังแล้วว่าเด็กๆ
ทุกคนในประเทศนี้มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดีมีคุณภาพได้
อย่างที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการจัดการศึกษาที่
พัฒนาศักยภาพผู้เรียนสามารถทำได้จริง
ด้วยงบประมาณที่ใช้บริหารจัดการต่ำกว่าโรงเรียนทั่วไปอีกด้วย